ENVI 11

">

วันเสาร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2553

คติสอนใจ จากไม้ขีดไฟ เพียงอันเดียว

ชีวิตคนเราอาจเปรียบได้กับไม้ขีดไฟ

ก้านไม้ขีด..ก็เหมือนกันเวลาชีวิตของเรา

เวลาชีวิตของเรา..หากมองจริงๆ ก็แสนจะสั้นเหลือเกิน เมื่อเรามีบางสิ่งบางอย่างทำ

บางคน..อาจมองว่าชีวิตของเรา ทำไมมันช่างแสนจะยาวนานนัก

เพราะนั่น..คือการที่เรายังไม่ได้จุดไม้ขีดไฟ

เมื่อเกิดการเสียดสีกับกล่องไม้ขีด ไฟก็จะลุกโชน

ในช่วงเวลาที่เราเริ่มจุดไม้ขีดนั้น

ไม้ขีดบางอัน ก็อาจจะลุกติดในทันที แต่บางอัน ก็ต้องใช้เวลานานกว่าจะติด

ไฟ..ก็เปรียบเสมือนงาน หรือจุดมุ่งหมายของเรา

บางคน...กว่าจะค้นหาเป้าหมายของตัวเองเจอ ก็ช่างนานแสนนาน

และเมื่อจะเริ่มทำเป้าหมายที่วางไว้ให้สำเร็จ..หัวไม้ขีดก็เก่าเสียแล้ว

จะจุดไม้ขีดก็ต้องยากเป็นธรรมดา

เมื่อไฟลุกติด..เมื่อเราเริ่มทำความฝันให้เป็นความจริง

ไฟก็จะมอดก้านไม้ขีด..เวลาแห่งชีวิต เวลาแห่งอิสระก็เริ่มจะสั้นลงๆ

ขณะที่ไฟลามไปยังก้านไม้ขีด

บางอันอาจจะช้า บางอันอาจจะเร็ว ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งต่างๆ

ตอนที่ไฟลุกอยู่...อาจจะมีลมแรงพัดผ่านเข้ามา อาจจะมีฝนตก ไฟก็อาจจะดับได้

เมื่อลุกมาถึงกลางก้านไม้ขีดแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่ไฟจะกลับมาลุกโชนอีกครั้งได้ง่ายๆ

ก็จำเป็นต้องพึ่งไม้ขีดอีกอัน พึ่งเพื่อนรักของเรา มาประคองไฟให้ลุกใหม่ได้อีกครั้ง

เมื่อจุดหมายของเราใกล้จะประสบความสำเร็จ ก้านไม้ขีดที่เหลือก็มีอยู่น้อยเต็มทีแล้ว

แต่เมื่อใดที่ไฟสุดท้ายของไม้ขีดดับมอดลง เมื่อวาระสุดท้ายของคนเรามาถึง

ก็จำเป็นที่จะต้องจากไป

แต่ประโยชน์ที่เราสร้างไว้ จุดหมายที่ประสบความสำเร็จ ไฟที่สร้างความสว่างไสวเอาไว้

แม้จะเป็นแค่เพียงไฟดวงเล็กๆ แต่ก็ได้สร้างประโยชน์เอาไว้ให้แก่คนรอบข้าง

และบางที

ก้านไม้ขีดไฟอันนี้…ก็อาจนำไปเพื่อจุดกองไฟกองโต

เพื่อความสว่างไสวและอบอุ่นของคนมากมาย..ตลอดคืน

ในทางกลับกัน..บางคนอาจกล่าวว่า

ถ้าเราไม่จุดไฟ..เราก็มีก้านไม้ขีดที่เหลืออีกมากมายเหลือเฟือ

แต่ถ้าหากเราปล่อยก้านไม้ขีดเอาไว้อย่างนั้น

นานวันเข้า..นานวันเข้า

ก้านไม้ขีดก็จะจุดติดยาก หรืออาจจะจุดไม่ติด

พอถึงวันนั้น..

คนที่จะใช้ไม้ขีดก็คงจะทำอะไรไปไม่ได้...นอกจากจะต้องทิ้งไม้ขีดไฟก้านนั้นทิ้งไป...



ขอขอบคุณ : ไม้ขีดไฟหลังบ้าน ที่ช่วยจุดประกายความคิดที่ก่อให้เกิดเป็นบทความนี้ขึ้นมา

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

เคล็ดลับหน้าใส


สูตรสาวหน้าใสน้ำผึ้งผสมมะนาว
ส่วนผสม มีแค่น้ำผึ้งกับน้ำมะนาว ใช้น้ำผึ้ง 1 ถ้วย กับน้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน นำมานวดให้ทั่วใบหน้า นวดไปเรื่อยๆ ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้มะนาว จะช่วยขจัดเซลล์ผิวเช่นเดียวกับครีมที่ผสมกรด AHA ส่วนน้ำผึ้งจะทำให้ผิวหน้านุ่มและชุ่มชื้น
สูตรสาวหน้าใสด้วยแอปเปิ้ล
ใช้แอปเปิ้ล ปอกเปลือกแล้วคว้านเอาเฉพาะเนื้อ นำมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ นำมา ทาให้ทั่วใบหน้า แล้วนวดเบาๆ ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น สูตรนี้จะช่วยขจัดเซลล์ ผิวที่ตายแล้วให้หลุดออกไป เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสเปล่งปลั่ง อีกด้วย
สูตรกระชับรูขุมขน
ใช้กล้วยหอม แตงกวาหรือมะเขือเทศก็ได้ เลือกใช้อย่างใดอย่างหนึ่งปอกเปลือก เอาเมล็ด ออกให้หมดแล้วหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ เติมน้ำผึ้งหรือนมเปรี้ยวลงไป นำไปปั่นให้ละเอียด จนเป็นเนื้อ ครีม นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น สูตรนี้จะ ช่วยทำความสะอาดใบหน้า และกระชับรูขุมขนและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น
สูตรครีมทำความสะอาดผิวหน้า (Cleanser)
ใช้โยเกิร์ต 1/2 ถ้วย น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมะนาวสด 1 1/2 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสม 3 ชนิดผสมให้เข้ากัน นำพอกให้ทั่วหน้าประมาณ 5 นาที ทุกเช้าและก่อนนอน แล้วจึงล้างออก ด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้ใช้ได้กับทุกสภาพผิว จะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึก และบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นอีกด้วย
สูตรสาวผิวแห้ง มอยเจอร์ไรเซอร์จากกล้วย
นำกล้วย 1 ผล ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ บดให้เข้ากัน นำมาพอกให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น จะทำให้ผิวหน้าชุ่มชื้นขึ้น สูตรนี้เหมาะกับผิวแห้ง
สูตรพอกหน้าใสจากแตงกวา
ใช้แตงกวา 1 ผล ไข่ไก่ 1 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่ขาว) และมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ หั่นแตงกวาเป็น ชิ้นบางๆ นำไปปั่นพร้อมกับไข่ขาวและใส่น้ำมะนาวลงไป ปั่นจนละเอียดเป็นเนื้อเดียวกัน นำมา พอกให้ทั่วใบหน้า เว้นรอบปากและดวงตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วจึงล้างหน้าตามปกติ หมั่นทำบ่อยๆ ทุกสัปดาห์ จะช่วยลดความมันส่วนเกิน และยังช่วยกระชับรูขุมขน ผิวหน้าจะ ดูเนียนเรียบและชุ่มชื้น เหมาะสำหรับผิวมันและผิวผสม

วันเสาร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2553

คติสอนใจ


1. ขอบคุณข้าวทุกเม็ด น้ำทุกหยด อาหารทุกจานอย่างจริงใจ


2. อย่าสวดมนต์เพื่อขอสิ่งใด นอกจาก “ปัญญา” และ “ความอุตสาหะ”

3. “เพื่อนใหม่” คือของขวัญที่ให้กับตัวเอง ส่วน “เพื่อนเก่า” “มิตร” คืออัญมณีที่นับวันจะเพิ่มคุณค่า

4. อ่านหนังสือธรรมะ ปีละเล่ม

5. ปฏิบัติต่อคนอื่นเช่นเดียวกับที่ต้องการให้ผู้อื่นปฏิบัติต่อเรา

6. พูดคำว่า “ขอบคุณให้มาก”

7. รักษา “ความลับให้เป็น”

8. ประเมินคุณค่าของการให้ “อภัย” ให้สูง

9. ฟังให้มากแล้วจะได้คู่สนทนาที่ดี

10. ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง หากมีใครตำหนิ และรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นจริง

11. หากล้มลง จงอย่ากลัวกับการลุกขึ้นใหม่

12. เมื่อเผชิญหน้ากับงานหนักคิดเสมอว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะล้มเหลว

13. อย่าถกเถียงธุรกิจภายในลิฟต์

14. ใช้บัตรเครดิตเพื่อความสะดวก อย่าใช้เพื่อก่อหนี้สิน

15. อย่าหยิ่ง หากจะกล่าวว่า “ขอโทษ”

16. อย่าอายหากจะบอกใครว่า “ไม่รู้”

17. ระยะทางนับพันกิโลเมตร แน่นอนมันไม่ราบรื่นตลอดทาง

18. เมื่อไม่มีใครเกิดมาแล้ววิ่งได้ จึงควรทำสิ่งต่าง ๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป

19. การประหยัดเป็นบ่อเกิดแห่งความร่ำรวย เป็นต้นทางแห่งความไม่ประมาท

20. คนไม่รักเงิน คือไม่รักชีวิต ไม่รักอนาคต

21. ยามทะเลาะกัน ผู้ที่เงียบคือผู้ที่มีการอบรมสั่งสอนที่ดี

22. ชีวิตนี้ฉันไม่เคยทำงานเลยสักวัน ทุกวันเป็นวันสนุกหมด

23. จงใช้จุดแข็ง อย่าเอาชนะจุดอ่อน

24. เป็นหน้าที่ของเราที่จะพูดให้คนอื่นเข้าใจ ไม่ใช้หน้าที่ของคนอื่นที่จะทำความเข้าใจในสิ่งที่เราพูด

25. เหรียญเดียวมี 2 หน้า ความสำเร็จกับความล้มเหลว

26. อย่าตามใจตนเอง เรื่องยุ่ง ๆ เกิดขึ้นล้วนตามใจตัวเองทั้งสิ้น

27. ฟันร่วงเพราะมันแข็ง ส่วนลิ้นยังอยู่เพราะมันอ่อน

28. อย่าดึงต้นกล้าให้มันโตไว ๆ (อย่าใจร้อน)

29. ระลึกถึงความตายวันละครั้ง ชีวิตจะมีความสุข มีอภัย มีให้

30. ทุกชิ้นงานจะต้องกำหนดวันเวลาแล้วเสร็จ

31. จงเป็นน้ำครึ่งแก้วตลอดชีวิต เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมได้ตลอด

32. ดาวและเดือนที่อยู่สูงอยากได้ก็ต้องปีน “บันไดสูง” ที่สำคัญในการดำเนินชีวิต

33. มนุษย์ทุกคนมีชิ้นงานมากมายในชีวิต จงทำชิ้นงานที่สำคัญที่สุดก่อนเสมอ

34. หนังสือเป็นศูนย์รวมปัญญาของโลก จงอ่านหนังสือเดือนละเล่ม

35. ระเบียบวินัย คือ คุณสมบัติที่สำคัญในการดำเนินชีวิต

เคล็ดไม่(ลับ)ด้วยผลไม้9อย่าง



1 ส้ม
ส้มซึ่งมีหลายชนิดและเลือกรับประทานได้ ผลที่มีรสเปรี้ยวหรือหวาน มักจะมีแคลเซียม โปแทสเซียม ไวตามินเอ และไวตามินซี มากเป็นพิเศษซึ่งทำให้ส้มนั้น อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระซึ่งจะช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใสดูอ่อนไวตลอดเวลา



2 มะนาว
นับเป็นผลไม้ที่มีคุณค่า นิยมใช้เป็นเครื่องปรุงรส นอกจากนี้ยังถือว่ามีคุณค่าทางโภชนาการและทางการแพทย์ด้วย ซึ่งมะนาวนั้นอุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งมีประโยชน์ต่อผิว และยังช่วยทำความสะอาดตับซึ่งทำหน้าที่กำจัดของเสียออกจากร่างกายได้อีกด้วย



3 ฝรั่ง
ฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจนที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึงไม่แก่ก่อนวัยซึ่งคอยบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหรือคอลลาเจนตัวเดียวกับที่ทำให้หน้าสาวๆอย่างเราเต่งตึงนี่แหละค่ะ นอกจากนี้น้ำต้มผลฝรั่งตากแห้ง มีฤทธิ์แก้คออักเสบ เสียงแห้งด้วยค่ะ


4 กล้วย
กล้วยทุกชนิดนั้นดีต่อสุขภาพแต่แนะนำให้ทานกล้วยไข่ค่ะ ซึ่งกล้วยไข่นั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระหรือเบต้าแคโรทีนมากกว่ากล้วยอื่นๆเป็นพิเศษค่ะ ซึ่งช่วยทำให้ผิวนั้นไม่เหี่ยวย่นไปตามวัยค่ะ


5 กีวี
กีวีซึ่งมีวิตามินอีมากสุดจากการวิจัยค่ะ และประกอบด้วยวิตามินซีที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างคอลลาเจนอีกด้วยค่ะ



6 แครอต
แครอตนั้นอุดมไปด้วยสารเบต้าแคโรทีนในปริมาณสูงที่สุดในบรรดาผักสีส้มด้วยกันค่ะ และเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเปลี่ยนสภาพเป็นวิตามินเอ ซึ่งมีประโยชน์ต่อสายตา ทำให้มองเห็นในที่มืดและรักษาโรคตาฟางได้อีกดวยค่ะ และนอกจากนี้ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่เกิดจากควันบุหรี่และแสงแดดที่แรงจัดได้ค่ะ



7 อะโวคาโด
อะโวคาโด้นั้นเมื่อทานเข้าไปจะทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัยค่ะ เพราะวิตามินบีในอะโวคาโด จะทำให้ร่างกายเกิดความต้านทานในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการปกป้องผิวหน้าจากมลพิษได้ด้วยค่ะ และการกินอะโวคาโดวันละผลจะช่วยทำให้ร่างกายได้รับวิตามินอีที่ร่างกายต้องการเพียงพอในแต่ละวันค่ะ




8 มะเขือเทศ
มะเขือเทศมีเบต้าแคโรทีนมากค่ะและสามารถรักษาสิว สมานผิวหน้าให้เต่งตึง โดยใช้น้ำมะเขือเทศพอกหน้า หรือนำมะเขือเทศสุกฝานบาง ๆ แปะบนใบหน้า จะช่วยให้ผิวหน้าอ่อนนุ่มได้ค่ัะ มะเขือเทศนั้นมีสรรพคุณทางยาค่อนข้างสูงค่ะ เพราะมะเขือเทศมีวิตามินพี ซึ่งจะช่วยป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด นอกจากนี้มะเขือเทศยังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะจึงสามารถแก้อาการความดัน และมะเขือเทศมีวิตามินเอจึงสามารถรักษาโรคตาได้ค่ะ เท่านั้นยังไม่พอค่ะ ยังมีอีกหนึ่งอย่างคือมีวิตามินซีมากทำให้สามารถป้องกันและรักษาโรคลักปิดลักเปิดและช่วยการช่วยระบบการย่อยและช่วยการขับถ่ายอุจจาระอีกด้วย


9 ทุเรียน

ทุเรียนนั้นถึงแม้อาจจะอ้วนแต่ว่าเนื้อทุเรียนนั้นมีความร้อน ทำให้แก้โรคผิวหนังหรือทำให้ฝี-หนอง แห้งและเนื้อทุเรียนมีฤทธิ์ขับพยาธิอีกด้วยค่ะ ส่วนเปลือกหนามทุเรียนนั้นนำมาสับแล้วแช่ในน้ำปูนใสสามารถใช้ชะล้างแผลที่เกิดจากน้ำเหลืองเสีย แผลพุพอง หรือนำมาเผาทำถ่าน บดจนเป็นผง คลุกในน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันงา ลดความบวมพองจากคางทูมได้ค่ะ และยังสามารถเผาเอาควันไล่ยุงและแมลงได้อีกด้วยค่ะ ส่วนใบของทุเรียนนั้นสามารถใช้ต้มน้ำอาบแก้ไข้ แก้ดีซ่านและเป็นส่วนผสมในยาขับพยาธิด้วยค่ะ สุดท้ายรากจากต้นทุเรียนนำไปตัดเป็นข้อ ๆ ต้มให้เดือด ดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงได้ด้วยค่ะ สารพัดประโยชน์จริงเลยค่ะ(แต่บริโภคแต่พอดีนะคะ)

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สิ่งเล็กๆที่เรียกว่า...รัก

สิ่งที่เล็กเล็กที่ฉันเรียกมันว่าความรัก
แค่เพียงได้รักเท่านั้นคงไม่ยิ่งใหญ่
แต่โลกของฉันนั้นหมุนไปด้วยความรักเธอ เพราะเธอคือ…
สิ่งที่เล็กเล็กที่ฉันเรียกเธอว่าความรัก
เก็บคำว่ารักไม่กล้าพอจะพูดไป
อยากให้เธอรู้
รักใช้เหตุและผลเป็นไง
หัวใจเป็นของเธอ
วันพรุ่ง นี้ขอเรียกเธอว่าความรัก

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันจันทร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2553


กลอน...วันแม่

สามร้อยหกสิบห้าวันคือวันเเม่ รักอะไรไหนเทียบเปรียบแม่รัก
มิใช่เเค่วันใดให้นึกถึง ลูกประจักษ์แก่ใจหาใครเหมือน
สมํ่าเสมอสมัครจิตคิดคํานึง ตั้งแต่เล็กแม่เราเฝ้าคอยเตือน
เหมือนเเม่ซึ่งรักลูกครบทุกวัน ไม่ลืมเลือนรักลูกด้วยผูกพันธ์


คราลูกหิว แม่หิวกว่า น้ำตาร่วง ยามลูกสุข แม่สุขสม อารมณ์ชื่น
แม่เป็นห่วง ดิ้นรนหา เอามาให้ ยามลูกขื่น แม่ขม ระทมกว่า
แม้แม่อด หมดข้าวปลา ไม่ว่าไร ยามลูกไข้ แม่อดนอน ร้อนอุรา
แม่สละได้ ลูกอิ่มแปร้ แม่ทนเอา ยามลูกยา อับโชค แม่โศกใจ


ลูกยื่นให้ "มะลิน้อย" ที่ร้อยรัก สองมือใดไหนจะเท่าสองมือแม่
กราบที่ตักด้วยรักแม่ไม่แปรผัน มอบรักแท้แข็งแก่งดุจแผ่นผา
บอกแม่ว่ารักแม่ล้นพ้นรำพัน เฝ้าถนอมมอบรักปักอุรา
จะสร้างฝันให้แม่เห็นเป็นคนดี. นี่แหละหนาคือรักแท้ของแม่เอย


รอยยิ้มแม่ที่มอบให้ด้วยใจรัก แม่ของเจ้านั่งหลังคู้อยู่ที่บ้าน
ลูกตระหนักถึงคุณค่ามหาศาล อยู่นอกชานรอเจ้าอยู่เจ้ารู้ไหม
ลูกจะอยู่เคียงข้างแม่ชั่วกาลนาน เจ้าจากบ้านมาเริงร่าอยู่หนใด
ดูแลท่านด้วยความรักชั่วชีวี เจ้าลืมแม่หรือไรไยไม่มา


กลั่นเม็ดเลือดเม็ดน้อยนับร้อยหยด สองมือกราบลงตักแม่ซึ้งในคุณ
จนปรากฎเป็นหยดนมรสกลมกล่อม ที่เจือจุนลูกมาจนเติบใหญ่
เพื่อหล่อเลี้ยงทารกน้อยค่อยอดออม และคอยเฝ้าคอยห่วงดั่งดวงใจ
เฝ้าถนอมฟูมฟักรักเมตตา แม่นั้นไซร้ที่เลี้ยงลูกปลูกจรรยา


รักใดเล่ารักแน่เท่าแม่รัก คำว่า"แม่" เป็นคำ ที่ไพเราะ
แม่ปกปักษ์รักษาจนเติบใหญ่ ไม่เคยเปราะ แต่ไหน แต่ไรมา
รักของแม่บริสุทธิ์กว่าสิ่งใด เป็นคำแรก ที่คอย ประทับตรา
รักของใครไม่เที่ยงแท้เท่าแม่เอย ให้รู้ว่า ใครนะ เป็นแม่เรา




ลดโลกร้อน...
ด้วยมือเรา…
ลด เถอะนะลดทำร้ายทำลายป่า
ลด เขนฆ่าธรรมชาติพินาศสิ้น
ลด คาร์บอนไดออกไซด์ทั่วแดนดิน
ลด การกินให้พอเพียงเลี้ยงชีวา
โลก ของเราเจ็บป่วยช่วยกันคิด
โลก วิกฤตอย่างหนักต้องรักษา
โลก แปรปรวนเราทั้งผองต้องเยียวยา
โลก เหนื่อยล้าเพราะคนก่นทำลาย

ร้อน รุนแรงจากภาวะเรือนกระจก
ร้อน วิตกจะยึดเยื้อน่าเบื่อหน่าย
ร้อน ไปหมดร้อนรุ่มสุมใจกาย
ร้อน มิคลายเพราะใครหนอพอเสียที
ด้วย สำนึกรวมพลังกันทั้งหมด
ด้วย อยากลดโลกร้อนทุกวิถี
ด้วย ตระหนักจึงเสาะหาทุกวิธี
ด้วย หน้าที่พึงสังวรก่อนสายเกิน

มือ สองข้างหมายมุ่งพยุงหล้า
มือ ซ้ายขวาไม่ปล่อยวางไม่ห่างเหิน
มือ ของเราประสานทั่วอย่ามัวเพลิน
มือ เผชิญกับความร้อนต้องผ่อนลง
เรา หิ้วถุงผ้าใช้ไปตลาด
เรา ทำพลาดต้องแก้ไขอย่าใหลหลง
เรา ปลูกป่ากันมากไว้ให้ยืนยง
เรา มั่นคงลดโลกร้อนก่อนรุนแรง

แนะนำมหาวิทยาลัยมหาสารคาม

10ที่เที่ยวในหน้าหนาวของไทย







1. อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์
ชื่อนี้มักจะเป็นติดอันดับต้นๆ ของการท่องเที่ยว เดิมชื่อว่า ดอยหลวง หรือ ดอยอ่างกา ดอยหลวง หมายถึงภูเขาที่มีขนาดใหญ่ ส่วนที่เรียกว่า ดอยอ่างกานั้น เพราะมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่งลักษณะเหมือน อ่างน้ำ มีฝูงกาไปเล่นน้ำกันมากมาย จึงเรียกว่า อ่างกา หรือ ดอยอ่างกา ดอยอินทนนท์ เป็นยอดดอยที่สูงที่สุดในประเทศไทย (2,599 เมตร) จึงทำให้มีสภาพอากาศหนาวเย็นตลอดปี สถานที่น่าสนใจในอุทยานฯ มี น้ำตกแม่ยะ น้ำตกแม่กลาง น้ำตกวชิรธาร น้ำตกสิริภูมิ ถ้ำบริจินดา โครงการหลวงอินทนนท์ และ เส้นทางศึกษาธรรมชาติหลายจุด




2. ดอยอ่างขาง
เป็นที่ตั้งสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ภายในสถานีมีโครงการวิจัยผลไม้ ไม้ดอกเมืองหนาว งานสาธิตพืชไร่ แปลงทดลองปลูกไม้ผลเมืองหนาว สวนบอนไซ มีการจำหน่ายผลิตผลพืชผักเมืองหนาวที่ปลูก ในบริเวณโครงการฯ ให้แก่นักท่องเที่ยวตามฤดูกาล ในสถานีฯ มีที่พัก และมีสถานที่กางเต็นท์บริการแก่นักท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ




3. เขาค้อ – อุทยานแห่งชาติน้ำหนาว จ.เพชรบูรณ์
เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ชื่อว่าเขาค้อเป็นเพราะ ป่าบริเวณนี้มีต้นค้อขึ้นอยู่มาก เนื่องจากภูมิอากาศบนเขาค้อเย็นตลอดปี ค่อนข้างเย็นจัดในฤดูหนาว และมีทัศนียภาพสวยงาม จึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่ง ของเพชรบูรณ์ สถานที่น่าสนใจบนเขาค้อได้แก่ อนุสาวรีย์จีนฮ่อ ฐานอิทธิเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุเขาค้อ หอสมุดนานาชาติเขาค้อ พระตำหนักเขาค้อ น้ำตกศรีดิษฐ์ สวนสัตว์เปิดเขาค้อ และเนินมหัศจรรย์ หมู่บ้านคุ้มจุดชมวิวกิ่วลม หมู่บ้านนอแล และหมู่บ้านขอบด้ง หมู่บ้านหลวง


4. อุทยานแห่งชาติห้วยน้ำดัง
ด้วยสภาพอากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี มีเทือกเขาและภูเขาสูง สลับซับซ้อน ครอบคลุมอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ภูเขาที่สูงที่สุด คือ ดอยช้าง เป็นป่าต้นน้ำลำธาร มีลำห้วยน้อยใหญ่มากมาย ฤดูหนาวอากาศเย็น ลมแรง





5.ภูชี้ฟ้า-ผาตั้ง จ.เชียงราย
ภูชี้ฟ้า เป็นจุดชมวิวทะเลหมอกและพระอาทิตย์ขึ้นอีกแห่งหนึ่ง มีลักษณะเป็นยอดเขาที่แหลมชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า ยิ่งตอนที่พระอาทิตย์กำลังขึ้นมาตรงระหว่างปลายยอดเขา จะดูเหมือน เสือคาบแก้วมาก มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,628 เมตร ส่วนของหน้าผาเป็นแนวยาวยื่นไปทางฝั่งประเทศลาว

6. อุทยานแห่งชาติภูกระดึง
เป็น
แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ได้รับความนิยมมากแห่งหนึ่ง ของเมืองไทย เพราะมีสภาพธรรมชาติสมบูรณ์ประกอบด้วยระบบนิเวศและ ภูมิประเทศหลากหลาย ทั้งทุ่งหญ้า ป่าสนเขา ป่าดิบ น้ำตกและ หน้าผาชมทิวทัศน์ ลักษณะเด่นของอุทยานฯ แห่งนี้คือเป็นภูเขาหินทราย ยอดตัด เป็นที่ราบขนาดใหญ่คล้ายใบบอนหรือรูปหัวใจ มีเนื้อที่ประมาณ 60 ตารางกิโลเมตร มีความสูง 400-1,200 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง จุดท่องเที่ยวประทับใจได้แก่ ผานกแอ่น ผาหล่มสัก ผาหมากดูด น้ำตกเพ็ญพบ น้ำตกถ้ำสอเหนือ-ใต้ สระอโนดาด เป็นต้น

7. อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า
ตั้งอยู่บนรอยต่อของสามจังหวัดคือ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และเลย ไร่ภูหินร่องกล้ามียอดเขาสูง 1,617 เมตร มีทิวทัศน์สวยงาม ปกคลุมด้วยป่าเต็งรังป่าดิบเขา และป่าสนเขา มีสนสองใบและสนสามใบ ขึ้นปะปนกัน และพบกล้วยไม้ดอกไม้ป่าหลายชนิดขึ้นอยู่ตามลานหิน เคยเป็นศูนย์กลางที่ตั้งฐานที่มั่นการเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ใหญ่ และสำคัญที่สุดของภาคเหนือ จุดที่น่าสนใจ ลานหินปุ่ม ลานหินแตก น้ำตกหมันแดง เป็นต้น


8. ทุ่งบัวตองดอยแม่อูคอ – ดอยแม่เหาะ จ.แม่ฮ่องสอน
ดอยแม่อูคอ เป็นทุ่งดอกบัวตองที่มีพื้นที่ครอบคลุมเป็นเขากว้าง ประมาณ 1 พันไร่ ดอกบัวตองที่นี่เมื่อบานพร้อม ๆ กันในช่วงเดือน พฤศจิกายน-ธันวาคม จะเหลืองอร่ามปกคลุมทั่วทั้งภูเขา เป็นที่ตั้งของศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา จังหวัดแม่ฮ่องสอน บริเวณนี้ มีภูมิประเทศที่งดงาม มีชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง อยู่เป็นส่วนมาก ในเดือนพฤศจิกายน ถึงธันวาคม ของทุกปี ดอกบัวตอง หรือทานตะวันป่า จะบานสะพรั่ง ไปทั่วหุบเขา สวยงามมากทีเดียว


9. อุทยานแห่งชาติภูเรือ
เป็นภูเขาสูงใหญ่ บนยอดเขาเป็นที่ราบกว้างใหญ่ มีต้นสนขึ้นสลับซับซ้อน มีลักษณะแปลกคือ มีส่วนหนึ่งเป็นผา ชะโงกยื่นออกมาเหมือน หัวเรือสำเภาใหญ่ อุทยานแห่งชาติภูเรือ จุดที่น่าสนใจบนอุทยานได้แก่ ผาโหล่นน้อย ภูผาสาด และทะเลภูเขา ผาซับทอง หรือ ผากุหลาบขาว เป็นหน้าผาสูงชัน และแหล่งน้ำซับที่มีพืชน้ำไลเคนสีเหลืองคล้ายสีทอง ขึ้นเต็มไปทั่ว น้ำตกห้วยไผ่ เป็นน้ำตกที่ไหลจากหน้าผาสูงชัน ยอดภูเรือ เป็นจุดสูงสุดในอุทยานฯ สามารถมองเห็น แม่น้ำเหืองและแม่น้ำโขงที่กั้นพรมแดนระหว่างไทย-ลาว




10. อุทยานแห่งชาติภูสอยดาว
สภาพพื้นที่เป็นภูเขาสูงที่ป่าปกคลุมอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี การเดินทางขึ้นดอยค่อนข้างลำบาก แต่เมื่อขึ้นไปถึงแล้วจะพบดอกไม้ป่า พันธุ์ต่าง ๆ เช่น ดอกหงอนนาค ดอกไม้ดินต่าง ๆ สวยงามมาก แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ ได้แก่น้ำตกภูสอยดาว และลานสน

วิธีการดาวน์โหลดไฟล์จากเว็บไซต์ Mediafire.com

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

บล็อก Blog Blogger คืออะไร what is blog & blogger



บล็อก Blog มาจากศัพท์คำว่า WeBlog โดยการผสมคำระหว่าง WEB ( Wolrd Wide Web) +LOG (บันทึก) = บล็อก บล็อก หมายถึงเว็บไซต์ ในรูปแบบย่อส่วน ที่มีรูปแบบเนื้อหาเรียบง่าย เป็นกันเอง เหมือนกับการบันทึกเรื่องพูดคุยกันของคนที่ชอบหรือสนใจในเรื่องเดียวกัน คล้ายกับบันทึกส่วนตัวออนไลน์ มีส่วนของการ แลกเปลี่ยน แสดงความคิดเห็น comments ให้กับผู้เข้าชม และก็จะมี link แนะนำไปยังเว็บอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องอีกด้วยบล็อก (Blog) เป็น เว็บไซต์ที่เจ้าของสามารถบันทึกบทความ รูปภาพ วีดีโอ ของตนเอง (Personal Journal) ลงบนเว็บไซต์ โดยเนื้อหาของ blog นั้นจะครอบคลุมได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวส่วนตัว หรือเป็นบทความเฉพาะด้านต่างๆ สามารถบันทึกเรื่องราวของตนเองลงในเว็บได้ตลอดเวลา การสร้างเว็บบล็อกสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ไม่ซับซ้อน ไม่เสียสตางค์ ไม่จำเป็นต้องรู้ภาษา HTML อย่างน้อยขอให้มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตและเว็บไซต์บ้างบล็อก เป็นปรากฎการณ์ที่เปลี่ยนรูปแบบของการสื่อสารในอดีตอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเว็บไซค์ ซึ่งมีรูปแบบเป็นทางการมากกว่า บล็อกเกิดขึ้นมาเพื่อทดแทนสิ่งที่ขาดหายไปของเว็บไซค์ คนเขียนบล็อก สามารถทำหน้าที่เป็นสื่อด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งสื่อสารมวลชน เขาสามารถสื่อสารกันเองในกลุ่มเล็กๆ หรือกลุ่มใหญ่ก็ได้ ถ้าเรื่องไหน เป็นที่ถูกใจ ของชาวบล็อก ชาวเน็ต คนๆ นั้น อาจจะดังได้เพียงชั่วข้ามคืน โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยสื่อหลักช่วยเลยตัวอย่างของ Blog ในขณะนี้คือ WeBlog ของ Blogger.com ซึ่งถ้าใช้โดเมนฟรี Url จะแสดงผลเป็นทำเว็บบล็อก.Blogspot.com แต่ถ้าจดโดเมนเอง จะเป็น ทำเว็บบล็อก.com

การสร้างบทความ (Post)






ส่วนของการสร้างบทความให้เข้าไปที่ "การส่งบทความ" หัวข้อ "สร้าง" ให้เพื่อนๆทำความเข้าใจเมนูและเครื่องมือต่างๆ ของการสร้างบทความใน Blogger เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานความเข้าใจเบื้องต้นในการสร้างบทความการสร้างบทความใช้พื้นฐาน Microsoft word คือเขียนอย่างไรก็จะออกมาอย่างนั้น แบ่งออกเป็น 2 ส่วน

1. ส่วนของ "เขียน" ในส่วนนี้จะเหมือน Microsoft Word เกือบทุกๆอย่าง อยากเขียนอะไร อยากใช้ตัวหนา ตัวเอียง การใส่ Link เพียงแค่คลิ๊กเมนูการใช้งานด้านบน มีข้อเสียคือ เวลา Copy อะไรก็ตามแล้วนำมา Paste ลงในนี้ ลักษณะของของตัวอักษรจะเหมือนกับต้นแบบที่ Copy มาทุกอย่างครับ

2. ส่วนของ "HTML" ส่วนนี้ต้องใช้ความรู้พอสมควรในการปรับแต่เนื้อหาหรือบทความที่เราเขียนให้เป็นไปตามที่เราตั้งใจ ซึ้งต้องใช้ความรู้ภาษา HTML พอสมควร แต่ไม่ได้ยากเท่าไร ข้อดีคือ สามารถปรับตามความต้องการของเราได้ทุกอย่าง เมื่อ Copy อะไรมาวาง ลักษณะตัวอักษรจะถูกปรับเป็นตัวอักษรปกติของบล๊อกเรา ข้อสังเกตุ: การ Copy อะไรมาวางถ้าไม่อยากให้ลักษณะผิดเพี้ยน ไม่ตรงตามรูปแบบที่สวยงาม ให้้ Copy แล้วทำมา Paste ในส่วนของ HTML ครับ ข้อความทั้งหมด จะถูกปรับให้การแสดงผลเป็นค่าปกติของบล๊อกเรา ไม่ใช่ตามลักษณะต้นแบบที่เรา Copy มาเครื่องมือต่างๆ ในการสร้างบทความBlogger มีเครื่องมือต่างๆมากมาย เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเขียบบทความได้ตามรูปแบบที่ตั้งใจ

1. แบบอักษร สามารถเลือกตัวอักษรได้ตามต้องการ

2. ปรับขนาดตัวอักษร ปรับขนาดความใหญ่หรือเล็กลง

3. ตัวหนา

4. ตัวเอียง

5. สีของตัวอักษร

6. ทำ Link ให้ข้อความ เราสามารถสร้าง Link ให้ข้อความได้โดยการ คลิ๊กคลอบข้อความที่เราต้องการแล้วกดที่เมนูนี้ ระบบจะให้ทำการใส่ URL (ที่อยู่ของ Link เช่น www.snook.com) เมื่อคลิ๊กที่ข้อความจะถูกส่งไปยังหน้าเว็บที่เราใส่ Link เข้าไป

7. ทำบทความให้ชิดซ้าย

8. ทำบทความให้อยู่กึ่งกลาง

9. ทำบทความให้ชิดขวา

10. ทำบทความให้ชิดทั้งขอบซ้ายและขวา

11. ทำรายการเรียงลำดับเป็นตตัวเลข

12. ทำรายการเรีนงลำดับเป็นจุด

13. ใส่ "," ให้กับข้อความที่ต้องการเน้นคำพูด

14. เพิ่มรูปภาพลงในบทความของเรา ระบบจะให้เราอัพโหลดไฟล์รูปภาพจากเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา สามารถปรับขนาดและจัดรูปแบบให้อยู่ ซ้าย,กลาง,ขวา ได้

15. เพิ่ม Video เข้าไปในบทความของเราเช่นเดียวกับรูปภาพครับ

16. ส่วนนี้เป็นการลบข้อความที่เราเขียนผิดพลาด ในส่วนนี้ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไร หรือไม่ได้ใช้เลยก็ได้

17. แก้ไข HTML ส่วนนี้ต้องใช้ความรู้พอสมควรในการปรับแต่เนื้อหาหรือบทความที่เราเขียนให้ เป็นไปตามที่เราตั้งใจ ซึ้งต้องใช้ความรู้ภาษา HTML พอสมควร

18. หน้าที่ใช้เขียนบทความเหมือนการใช้งาน Microsoft Word

19. แสดงตัวอย่างที่เราเขียนบทความ

20. การใส่หัวข้อเรื่อง เช่น เรื่อง "การตกแต่งบ้างโดยใช้ต้นไม้ประดับ" หัวข้อก็คือ การตกแต่งบ้าน (บ่งบอกให้รู้ว่าเรื่องเกี่ยวกับอะไร)

21. ทำการเผยแพร่บทความทันที บทความจะแสดงหน้าบล๊อกของเราทันที่ที่เราเผยแพร่

22. บันทึก เป็นการบันทึกบทความไว้ก่อน จะยังไม่แสดงในหน้าบล๊อกของเรา เหมือนการร่างบทความ เราสามารถเข้าไปปรับเปลี่ยนทีหลังได้ใน "การแก้ไขบทความ"

การเขียนบทความที่ดี

* เขียนสั้นๆได้ใจความ

* อย่าทำให้ผู้อ่านลาย

* ใช้ประโยคเป็นกันเอง เหมือนเล่าเรื่อง (แล้วแต่เนื้อหาบทความ)

* ชื่อเรื่องน่าอ่าน

* มีสไตล์เป็นของตัว

* ทบทวนเรื่องราว เช่นเขียนดูไหม อ่านแล้วเป็นยังไง สะกดผิด เขียนผิดหรือปล่าวส่วนต่อไปเป็นส่วนของการแก้ไขบทความ

การแก้ไขบทความ Blogger (Edit Post)





การ แก้ไขบทความของ Blogger มีระบบการใช้งานที่ง่ายมาก อยากจะแก้บทความไหน ก็แก้ในบทความนั้น อยากจะใช้ป้ายกำกับอะไรให้บทความ ก็สร้างป้ายกำกับ และกดตั้งค่าป้ายกำกับ สามารถลบบทความ ลบป้ายกำกับ ดูรายละเอียดการสร้างบทความ เช่น บทความเผยแพร่เวลาเท่าไร ใครเป็นผู้เขียนบทความนั้น เรามาดูเมนูควบคุมต่างๆ ของการแก้ไขบทความกันเลย

1. การใช้งานป้ายกำกับ เราสามารถ ลบ เพิ่ม และเปลี่ยนป้ายกำกับให้บทความเราได้ โดยการติ๊กช่องหน้าบทความครับ

2. ช่องค้นหา สามารถค้าหาบทความโดยใส่ Keyword ลงไปครับ

3. ช่องแก้ไข และ ชื่อบทความหรือหัวข้อใหญ่ของบทความ ในการแก้ไข เพิ่มป้ายกำกับให้บทความ ลบบทความ เราสามารถติ๊กถูกในช่องหน้าแก้ไข จะสามารถแก้ไขได้พร้อมๆกันครับ

4. ร่างและวางกำหนดการแสดงของบทความ

5. บทความที่นำเข้ามาจากบล๊อกอื่น

6. บทความที่เผยแพร่แล้ว

7. บทความต่อหน้า จะให้หน้านี้แสดงบทความทั้งหมดกี่บทความ

8. ลบบทความ

9. ชื่อคนเขียนบทความ

10. บทความได้เผยแพร่เวลาเท่าไร

11. รายชื่อป้ายกำกับทั้งหมด ในส่วนของ () คือจำนวนบทความที่อยู่ในป้ายกำกับนั้น

12. เผยแพร่บทความ (ที่เราติ๊กถูกหน้าบทความ) ใช้สำหรับบทความที่ร่างไว้

13. ลบรายการที่เลือก (ที่ติ๊กถูกหน้าบทความ)

14. สร้างบทความใหม่

15. ชื่อของป้ายกำกับประจำบทความ


การตั้งค่ารูปแบบ ( Layout Setting )



การตั้งค่ารูปแบบ ( Layout Setting )


การตั้งค่ารูปแบบ เปรียบเหมือนการเปลี่ยนแปลงของหน้าบล๊อกเราที่จะแสดงต่อสายตาคนทั่วโลก การจัดวาวงรูปแบบเนื้อหาข้อมูลของบล๊อกเป็นส่วนสำคัญไม่น้อยที่จะทำให้ผู้คน เข้ามาแล้วติดใจ หน้าบล๊อกดูสะอาดตา มีเมนูการใช้งานต่างๆ ง่ายต่อการใช้งาน เพื่อนๆคงไม่อยากอ่านบทความต่างๆของบล๊อกที่รก หาอะไรก็ไม่เจอ ดูวุ่นวายไปหมด ในส่วนนี้ Blogger จัดไว้ให้สามารถปรับแต่งได้ง่ายดายมากครับ ไม่ต้องไปเขียนโค้ด Html, php ก็สามารถสร้างบล๊อกหน้าตาเหมือน บี้เดอะสตาร์ หรือ พอลล่า ได้อย่างง่ายดาย เรามาดูการตั้งค่ารูปแบบเลยครับว่ามีอะไรบ้างในส่วนของตั้งค่ารูปแบบ จะอยู่ในเมนู "รูปแบบ" ประกอบด้วยเมนูย่อย 4 อย่างดังรูป

เมนูต่างๆ ในเมนู "รูปแบบ"

* องค์ประกอบของหน้า (Page Elements)

* แบบอักษรและสี (Fonts and Colors)

* แก้ไข HTML (Edit HTML)

* เลือกแม่แบบใหม่ (Pick New Template)

การสมัคร Blogger (ต่อ)

การสมัคร Blogger